"ศรีสวัสดิ์" เคลียร์ปมสัญญาเงินกู้ไม่เป็นธรรม ยันแก้ไข – ลงโทษพนักงานแล้ว

สภาองค์กรของผู้บริโภค จัดแถลงข่าวกรณีมีผู้บริโภคมากกว่า 60 ราย ทยอยเข้าร้องเรียน ขอให้ช่วยเหลือ กรณีเป็นผู้เสียหายจากการทำสัญญาเงินกู้กับบริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 จํากัด กระทั่งมีการเข้าช่วยเหลือจนชนะคดี โดยมีตัวแทนผู้เสียหาย รวมถึงตัวแทนบริษัทมาร่วมชี้แจงด้วย

นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า ศาลได้ตัดสินแล้วว่าบริษัทได้คิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนดจริงจึงตัดสินให้ผู้บริโภคชนะคดี เพื่อเป็นการไกล่เกลี่ยระหว่างผู้เสียหายกับบริษัทศรีสวัสดิ์

กสทช.สกัดคอลเซ็นเตอร์ จ่อฟันโทรเกิน 100 ครั้ง/วัน โดนระงับ

เกาหลีใต้ เตรียมเปิดรับแรงงานข้ามชาติไร้ฝีมือทุบสถิติ!

นายอิฐบูรณ์ กล่าวว่า สภาผู้บริโภคได้เปิดพื้นที่เป็นตัวกลางเพื่อชี้แจงประเด็นที่ขัดแย้งกับบริษัทศรีสวัสดิ์ร่วมกัน โดยมีการทบทวนขั้นตอนของสัญญาที่อาจไม่ถูกต้องและให้มีการเริ่มเจรจาทำสัญญาที่ถูกต้องใหม่ร่วมกัน

ขณะที่ นายวัชร์บูรย์ สุรสิงห์สกฤษฎ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของบริษัทศรีสวัสดิ์ ได้ชี้แจงว่า บริษัทยินดีรับข้อคิดเห็นไปพิจารณา แก้ไขปัญหา และปรับปรุงกระบวนการให้กู้เงิน พร้อมชี้แจงกรณีปัญหาที่ผู้กู้ไม่ได้เอกสารคู่สัญญาเงินกู้ที่อาจเกิดจากปัญหาการสื่อสารของเจ้าหน้าที่ในสาขานั้น ๆ และสำหรับประเด็นที่มีผู้บริโภคไม่ได้รับคู่สัญญานั้นบริษัทมีแนวทางการแก้ไขปัญหาโดยเพิ่มการส่งเอสเอ็มเอส (SMS) ให้กับผู้กู้เพื่อแจ้งให้มารับคู่สัญญาเงินกู้ได้

ส่วนในประเด็นที่มีการให้ผู้บริโภคลงลายมือชื่อกระดาษเปล่านั้น นายวัชรบูรย์ กล่าวว่า ตนเองมีความคิดเห็นว่า ธนาคารหรือบริษัทอื่น ๆ มีการให้ผู้กู้เซ็นกระดาษเปล่าในการเช่าซื้อหรือการเซ็นสัญญาด้วยเช่นเดียวกัน เหตุที่ต้องทำในลักษณะนั้น เนื่องจากมีลูกค้าเป็นจำนวนมาก จึงต้องการความรวดเร็วในการทำงาน

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมามีลูกค้าจำนวนมากยกเลิกสัญญาเพราะความล่าช้า อีกเหตุผลหนึ่งคือการลดความผิดพลาดของเอกสาร จึงให้ลูกค้าเซ็นในกระดาษเปล่าก่อนและพิมพ์แบบฟอร์มภายหลัง ซึ่งปัจจุบันนี้บริษัทได้แก้ปัญหาแล้ว รวมถึงการลงโทษพนักงานที่กระทำการดังกล่าว

ส่วนประเด็นการเก็บดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนดนั้น นายวัชร์บูรย์ กล่าวว่า นโยบายของบริษัทเริ่มต้นคิดดอกเบี้ยที่ร้อยละ 0.49 ซึ่งเป็นดอกเบี้ยอัตราต่ำที่หาไม่ได้ในตลาดขณะนี้ และยังสามารถต่อรองลดดอกเบี้ยได้อีก

อย่างไรก็ตามบริษัทได้คิดดอกเบี้ยคิดตามจำนวนเดือนที่กู้ ดังนั้นดอกเบี้ยจึงอาจสูงคือร้อยละ 2 แต่ยืนยันว่าไม่ได้คิดดอกเบี้ยดังกล่าวตลอดสัญญาเงินกู้ ซึ่งแตกต่างจากสัญญาเงินกู้อื่น ๆ ที่คิดดอกเบี้ยตลอดสัญญา ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้น คาดว่าเกิดจากการสื่อสารที่ผิดพลาดของพนักงานและบริษัทจะแก้ปัญหาดังกล่าวต่อไป

“เรายืนยันว่าเราไม่ได้โกงลูกค้าหรือมีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยง เราพยายามเพื่อหาทางออกให้กับลูกค้า แต่เมื่อมีข้อโตแย้งเกิดขึ้นบริษัทศรีสวัสดิ์พร้อมจะนำข้อคิดเห็นต่าง ๆ ไปแก้ไขปัญหาและปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ ให้ดีและโปร่งใสขึ้น”

ด้าน ว่าที่ร้อยเอกธรรมณัฐ แก้วบุญส่ง ตัวแทนผู้เสียหายจากการกู้สินเชื่อจำนำโฉนดจากบริษัทเงินกู้ศรีสวัสดิ์ กล่าวถึง สาเหตุการกู้เงินกับบริษัทศรีสวัสดิ์ว่าเกิดจากที่ในช่วงปี 2562 เกิดปัญหาโควิด – 19 ที่ทำให้ธุรกิจของตนมีปัญหาต้องกู้เงินมาเพื่อต่อลมหายใจ จึงได้ไปกู้เงินที่บริษัทศรีสวัสดิ์เพราะเห็นว่าเป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือ และเคยมีประวัติร่วมงานกับธนาคารออมสินจึงได้นำโฉนดไปกู้เงิน

โดยที่ผ่านมากู้ไปทั้งหมด 3 ครั้ง และทั้ง 3 สัญญาไม่ได้รับคู่สัญญาและมีการให้เซ็นชื่อบนเอกสารเปล่า และเมื่อได้รับเงินกู้ กลับได้ไม่ครบตามจำนวนที่กู้ โดยบริษัทอ้างว่าต้องหักค่าธรรมเนียม ค่าประกันออกไป แต่สุดท้ายไม่เคยได้รับเอกสารต่างๆ เหล่านั้นเลย

“ผมเห็นเอกสารสัญญากู้เงินตอนที่บริษัทมาฟ้องผม แต่เอกสารที่ส่งฟ้องศาลก็ไม่ตรงกับที่ผมเข้าใจ เอกสารบางแผ่นไม่เคยเห็นมาก่อน ผมยอมรับว่าผมโง่ที่เซ็นเอกสารเปล่า แต่ผมยืนยันว่าผมไม่เคยปฏิเสธที่จะจ่ายหนี้ แต่วันนี้ยอดเงินกู้ 2 แสนบาท แต่ผมกลับต้องจ่าย 4 แสนบาทผมคิดว่าไม่ถูกต้องและผมควรได้จ่ายบนสัญญาที่ถูกต้อง”

จากการต่อสู้คดีข้างต้นในศาลอุทธรณ์ ว่าที่ร้อยเอกธรรมณัฐ กล่าวว่าศาลได้ตัดสินให้ชนะทั้งหมด 3 คดี ทำให้รู้สึกพอใจ และขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรม ที่ทำให้ไม่ต้องจ่ายหนี้ตามจำนวนที่บริษัทยื่นฟ้อง จึงอยากฝากถึงผู้บริโภคที่พบปัญหาในลักษณะเดียวกัน ขอให้นำคดีนี้เป็นบทเรียนและได้เรียกร้องให้บริษัทศรีสวัสดิ์ดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาลคำพูดจาก สล็อตออนไลน์

สำหรับคดีของว่าที่ร้อยเอกธรรมณัฐนั้น ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาว่าบริษัทมีการเก็บดอกเบี้ยดังกล่าวเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดจริง คือเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี เนื่องจากบริษัทเก็บดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อเดือนหรือเท่ากับร้อยละ 24 ต่อปี

ดังนั้นศาลจึงตัดสินให้ผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องชำระตามที่บริษัทฟ้องร้องเป็นจำนวน 403,511 บาท ที่รวมดอกเบี้ยไม่เป็นธรรม แต่ให้ชำระเงินในจำนวน 241,286 บาท ซึ่งเป็นเงินต้น 200,000 บาทบวกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี และบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี

ด้าน นายภัทรกร ทีปบุญรัตน์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภค แสดงหลักฐานการที่บริษัทให้เซ็นสัญญาในเอกสารเปล่า โดยเริ่มตั้งแต่การนำสัญญาเงินกู้มาให้เซ็นชื่อซึ่งไม่มีการระบุว่ากู้เงินกับใคร และมีการนำเอกสารเปล่ามาให้เซ็นสัญญา แม้ว่าการทำธุรกรรมโดยทั่วไปของธุรกิจสินเชื่อจะมีการให้เซ็นเอกสารเปล่าเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่เอกสารไม่ได้เปลี่ยนแปลง

แต่กรณีบริษัทศรีสวัสดิ์พบว่าเอกสารเปล่าดังกล่าว ภายหลังจากการเซ็นชื่อได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นเอกสาร “คำสัญญาใช้เงินเปลี่ยนมือไม่ได้” ซึ่งไม่ใช่เอกสารสัญญากู้เงิน จึงตั้งข้อสังเกตว่า เอกสาร “คำสัญญาใช้เงินเปลี่ยนมือไม่ได้” อาจจะเป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากสัญญาเงินกู้ต้องมีคู่สัญญาให้กับผู้กู้และอัตราดอกเบี้ยต้องไม่เกินร้อยละ 15 อย่างไรก็ตามกรณีดังกล่าว สภาผู้บริโภคได้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับบริษัทในการปลอมแปลงเอกสารเอาไว้แล้ว

ส่วน นายโสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคเป็นผู้แทนผู้บริโภค ซึ่งมีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภค และให้ความช่วยเหลือผู้ที่ถูกฟ้องคดี ในกรณีนี้ ได้มีผู้บริโภคมากกว่า 60 รายเข้ามาร้องเรียนประเด็นการทำสัญญากู้เงินของบริษัทศรีสวัสดิ์ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่บริษัทคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด คือ คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อเดือน ซึ่งเกินร้อยละ 15 ต่อปี โดยประเด็นดังกล่าวศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินคดีแล้วว่าบริษัทได้คิดดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดจริงตามคำพิพากษาของคดีว่าที่ร้อยเอกธรรมณัฐ

You May Also Like

More From Author